เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ก.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะตั้งใจฟังธรรมๆไง ฟังธรรม เห็นไหม เราไปพักผ่อน ไปที่อากาศบริสุทธิ์ หายใจเข้าเต็มปอดๆ นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่บ้านอยู่เรือนเราต้องทำหน้าที่การงานของเราเราไปวัดไปวาไปวัดไปวา วัดเป็นสถานที่ของผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีลเข้าวัดไป เข้าขอบเขตวัดไปถ้าเข้าขอบเขตวัดไป สถานที่มันบอกถึงคนที่อยู่สถานที่นั้น

ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติไม่ใช่วัดร้าง ถ้าวัดร้างเข้าไปแล้วไม่มีใครรับผิดชอบไม่มีใครดูแลทั้งสิ้น แล้วเป็นวัดเป็นวาเป็นอารามอารามเป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีลไงผู้ทรงศีล อารามิกไม่มีบ้านไม่มีเรือน ถ้าไม่มีบ้านไม่มีเรือน ผู้ทรงศีลเขาอยู่ในวัดในวา สิ่งนั้นถ้าเราไปแล้ว ถ้าเราไปในอากาศที่สดชื่น ในอากาศที่ออกซิเจนสมบูรณ์ หายใจเต็มปอดๆ ไง

นี่ก็เหมือนกัน เราไปวัดไปวาเพื่อทำบุญกุศลของเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกถ้าเธอจะทำบุญเธอควรทำบุญที่เธอพอใจ ถ้าพอใจที่ไหนทำที่นั่น ที่ไหนพอใจไงถ้าที่ไหนเราพอใจ ที่ไหนมันสะดวกสบาย ทำที่นั่น เพราะทำที่นั่นมันใกล้บ้านใกล้เรือนเรา มันสะดวกสบายไงถ้าเราไปขวนขวายไปๆ แม้แต่ทำใกล้ๆ บ้านมันยังไม่อยากจะทำ นี่ไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของคน ในใจของคน เห็นไหม

แล้วถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อ ความศรัทธาความเชื่อถ้าศรัทธาความเชื่อเข้าไป เข้าไปขวนขวาย เข้าไปศึกษา ถ้าศึกษาแล้ว คนศึกษาแล้วมันคัดแยกไง สิ่งใดที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์เป็นประโยชน์มากหรือเป็นประโยชน์น้อยถ้าเป็นประโยชน์มาก ทุกคนก็ขวนขวายสิ่งที่เป็นประโยชน์มาก ถ้าประโยชน์มากมันมากตรงไหนล่ะ มันมากตรงไหน มันมากที่การโฆษณาชวนเชื่อใช่ไหม มันมากในข้อเท็จจริงของมันไง

ถ้าข้อเท็จจริงของมัน เห็นไหม น้ำ น้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ทำสิ่งใดก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ ถ้าน้ำเสียๆน้ำเสียเขาเอาไว้ทำไม แม้แต่รดต้นไม้ยังรดไม่ได้เลย รดต้นไม้ต้นไม้ตายหมดถ้าน้ำเสีย นี่ไงเราก็ต้องการน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์เราต้องการน้ำที่ดี

นี่ก็เหมือนกัน เราทำบุญกุศลของเราทำเพื่ออะไร ทำเพื่อหัวใจดวงนี้ไง ถ้าหัวใจดวงนี้ เวลาทุกข์เวลายากใครเป็นคนทุกข์คนยาก เวลาทางโลกเราก็ดูกันแต่ความประสบความสำเร็จทางโลกความประสบความสำเร็จทางโลก ดูสิ คนจะอยู่ตึกสูงส่งขนาดไหน อยู่ชั้นสูงสุดยอดขนาดไหนเวลามันทุกข์มันก็ทุกข์อยู่บนยอดตึกนั้นน่ะเราอยู่โคนไม้ๆอยู่โคนไม้ของเรา ถ้าเราทำหัวใจของเราได้

กษัตริย์สมัยพุทธกาลเวลาออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาสิ้นสุดแห่งทุกข์ “ที่นี่สุขหนอ สุขหนอ” แล้วความเป็นกษัตริย์ ราชวังของเขา เขาต้องประณีตอยู่แล้วเวลาเขามาอยู่โคนต้นไม้เขาว่ามีความสุขๆเพราะอะไรล่ะความสุขเพราะเขามีคุณธรรมในหัวใจไง มันมีตรงนี้นะ ถ้าไม่มีคุณธรรมในหัวใจมันว้าเหว่มันได้เท่าไรมันก็ไม่พอมันหรอกไม่พอตรงนั้นน่ะมันทุกข์ มันทุกข์ตรงที่มันไม่พอมันตะเกียกตะกายนั่นน่ะ

แต่ถ้าเราขวนขวายของเราด้วยคุณงามความดีของเราด้วยคุณงามความดีนะ เวลาคนที่มีสติปัญญาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาทำบุญทิ้งเหวๆ ไง ทำบุญแล้วก็แล้วกัน ยื่นเสียสละไปแล้วนะ จบ ทำบุญทิ้งเหวๆ นี่ปฏิคาหกผู้ให้ให้แล้วมันชื่นบานในหัวใจไง ไม่ต้องวิตกกังวลใดๆ ทั้งสิ้นเพราะเราคัดเลือกของเราแล้ว เราได้คัดแยกของเราแล้วสิ่งใดที่เราพอใจของเรา เราคัดเลือกของเราแล้วถ้ามีผลหรือไม่มีผลนั้น มีผลหรือไม่มีผลมันรู้ได้ๆระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน เวลามันพิสูจน์หมดแหละถ้าเวลามันพิสูจน์ขึ้นมา ความจริงอันนั้นๆ เวลามันกลืนกินชีวิตของเราไปนะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันก็พิสูจน์คนนะว่าคนนั้นมันจริงหรือไม่จริงธรรมะที่เผชิญกับไฟแล้วมันยังคงที่อยู่ไหม ถ้าธรรมะเหลวไหลนี่ไง เวลาเจอแดดเข้าไป อ่อนไปหมดเลย อ่อนปวกเปียกไปเลยธรรมะอย่างนั้นมันพึ่งอาศัยได้ไหม ถ้ามันพึ่งอาศัยไม่ได้ เราแสวงหาของเราเราเป็นคนคัดเลือกของเรา เราเป็นคนคัดเลือกเราเป็นคนคัดแยก เราเป็นคนพอใจของเราทำบุญกุศลทำบุญกุศลที่ไหนล่ะ ก็เพื่อหัวใจของเรา ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ คนมีศรัทธามีความเชื่อนี่นะมันสำนึกถึงตนนะ

คนเวลามันส่งออกๆ มันทิ้งตัวเราไงจิตใจไปอยู่ที่ข้าวของเงินทองไปแสวงหาอยู่ที่เราแสวงหานั่นมันส่งไปอยู่นู่นแล้วมันประมาทเลินเล่อนะ มันขวนขวายสิ่งอยู่ภายนอกไง แล้วก็มาทิ้งหัวใจของมัน ทิ้งศีลทิ้งธรรมไป

“อ้าว! มีศีลมีธรรมมันจะมาพอกินเมื่อไหร่ล่ะ มีศีลมีธรรมไม่พอกิน เราขวนขวายของเราเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง”

เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง สิ่งนั้นน่ะ ทำสิ่งใดที่เป็นสุจริตธรรมสุจริต ทางโลกเขาต้องการธรรมาภิบาลๆ ไงความสะอาดบริสุทธิ์ของมันไง ถ้าความสะอาดบริสุทธิ์ของมัน เราทำของเรา มันจะได้มากได้น้อยด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเราเห็นไหม ถ้าความสะอาดบริสุทธิ์ของเรากาลเวลาพิสูจน์ได้ ทุกอย่างพิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าพิสูจน์ได้ ความสุจริตมันคุ้มครองตัวเราๆถ้ามีศีล ถ้ามีศีลถ้ามีธรรม

ถ้ามีธรรม เราทำของเราๆ ถ้าคนที่จิตใจที่ประเสริฐๆ แล้ว ทางโลก งานทุกอย่างเราก็ทำของเราแล้ว เราทำของเราแล้วนะ ปากกัดตีนถีบของเราเพื่อความมั่นคงในชีวิตของเราน่ะถ้ามั่นคงในชีวิตของเราแล้ว ผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสารมาเสียสละทั้งหมด ดูสิสมัยพุทธกาลกษัตริย์เขาละทิ้งความเป็นกษัตริย์มาเป็นพระธุดงค์ มาอยู่โคนไม้ มันจะมีความสุขได้อย่างไร แต่เวลาประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์มันสุขหนอๆ จนพระที่เป็นปุถุชนไม่เชื่อ เพราะพระที่เป็นพระปุถุชนก็ยังอาบเหงื่อต่างน้ำ พระเป็นปุถุชนอยู่เราก็ต้องมีข้อวัตรปฏิบัติ ต้องบังคับจิตใจของเรา

ว่าพระองค์นี้เขาคงคิดถึงราชวัง ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกเข้ามาเลย “เธอพูดอย่างนั้นจริงหรือ”

“จริง”

“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ”

โอ้โฮ! เมื่อก่อนเป็นกษัตริย์นะ มันต้องแบกรับภาระไปทั้งหมดแล้วอำนาจ ทุกคนมันแย่งชิงทั้งนั้นน่ะ มันระแวงไปหมด ไม่มีความสุขเลยนอนสะดุ้งทุกคืนนอนแต่ความสะดุ้ง จะปกครองคุ้มครองดูแลขนาดไหนมันก็ยังระแวงตลอดแต่เวลาอยู่โคนไม้ๆ ขึ้นไป โคนไม้ตั้งแต่คนที่มาบวชนะ เวลาบวชขึ้นมาแล้วอุปัชฌาย์อุปัชฌาย์ถ้าบวชเกสา โลมา นขาทันตา ตโจ ต้องบอกกรรมฐาน ๕บอก รุกฺขมูลเสนาสนํ ให้โอกาสไง

ทุกคนมาบวช ทุกคนมีสิทธิใช่ไหม ถึงบอกโอกาสไว้ก่อนไง คนที่จะศึกษาจะค้นคว้าถ้าค้นคว้าตามความเป็นจริงเพราะความเป็นจริง อยู่โคนไม้มันไม่มีใครมาตบแต่งให้ทั้งสิ้นโคนไม้ก็คือโคนไม้ จะเศรษฐีกุฎุมพี คนทุกข์จนเข็ญใจอยู่โคนไม้ก็คือโคนไม้ โคนไม้มันก็มีแต่ร่มเงาของต้นไม้เท่านั้นน่ะถ้าอยู่โคนไม้แล้ว สิ่งใดถ้ากิเลสมันท่วมหัวมันก็น้อยเนื้อต่ำใจทั้งนั้นน่ะมันดีดดิ้นของมัน ถ้าเรามีสติปัญญารักษาของเรา รักษาของเรา ถ้ามีศีลก็มีขอบรั้วของมัน เราเป็นพระพระใช้ดำรงชีวิตต่างจากคฤหัสถ์

คฤหัสถ์ดูสิ เวลานายพรานป่าเขาเข้าป่าของเขาไปเขามีอาวุธพร้อมเข้าไป เขาล่าสัตว์ เขาทำอะไรเพื่ออาชีพของเขา เราเป็นภิกษุเรามีศีลมีธรรมเป็นอาวุธ เราพยายามจะค้นหาหัวใจของเรา ถ้าเราค้นหาหัวใจของเราภิกษุเราไม่ดำรงชีวิตแบบคฤหัสถ์เขา แบบฆราวาสไม่ได้ ภิกษุคือแตกต่างจากคฤหัสถ์ในการดำรงชีพ ในการดำรงชีพ ในการแสวงหา แล้วแสวงหาด้วยปลีแข้ง บิณฑบาตเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพแล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันจะค้นคว้าเข้ามาในหัวใจ ถ้ามันค้นคว้าในหัวใจ

เราต่างจากคฤหัสถ์ แล้วเราก็ไม่ใช่สัตว์เราเป็นมนุษย์สัตว์ป่ามันอยู่ในป่า อยู่ในป่ามันก็ล่าสัตว์ของมันมันก็อยู่ตามธรรมชาติของมัน นี่สัตว์ป่าๆพระป่าๆ เป็นสัตว์หรือ เป็นมนุษย์ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสมีสติมีปัญญา ถ้ามีสติปัญญาค้นคว้าของเรามันจะค้นคว้าเข้ามาในใจนี้ไง ถ้าค้นคว้าเข้ามาในหัวใจ อยู่โคนไม้ๆ โคนไม้มันเสมอภาคกันทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าโคนไม้ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมามันจะรักษาของมันมันจะขวนขวายของมัน ถ้ามันขวนขวายของมัน มันทำของมัน นี่มันเกิดมรรค

เวลาเขาบอกว่าปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ปฏิบัติโดยมรรค๘...มรรค ๘ เพ้อเจ้อ ความเพ้อเจ้อไม่ใช่มรรคความเพ้อเจ้อดูสิ กุศล อกุศลเวลาเราคิดเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เวลาเราพูดเป็นมิจฉาหรือเป็นสัมมา

เวลาทำจริงขึ้นมามันเป็นความจริงขึ้นมา สติมันก็ยับยั้งความคิดได้ ยับยั้งได้หมด สิ่งที่ทุกข์ที่ยาก สิ่งที่วิตกกังวล ถ้ามีสตินะ เราจะไปกังวลทำไมปัจจุบันนี้เราอยู่โคนไม้นี้ เหตุใดเกิดในจักรวาลนี้มันก็เกิดอยู่จักรวาลนี้ เราไปทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เราอยู่โคนไม้ เราไปไหนไม่ได้หรอก ชีวิตนี้มันอยู่ที่นี่ เหตุมันเกิด มันเกิดปัจจุบันนี้ ไม่ต้องวิตกกังวลสิ่งใดๆ ทั้งสิ้นไม่ต้องคิดออกไปไกล ไม่ต้องส่งไปไกล ให้อยู่กับเรานี้ พุทโธไว้พุทโธไว้ มีปัญญาอบรมสมาธิไว้ ถ้ามีสติปัญญามันสงบได้ ศีล สมาธิปัญญา

เวลามันเกิดปัญญาๆ ขึ้นมา ดูสิ พระที่เป็นกษัตริย์เขาปกครองดูแลเขาบริหารจัดการทั้งนั้นน่ะกษัตริย์เวลาปกครองดูแลขุนนางมหาศาลเลย นักปราชญ์ทั้งนั้นน่ะ ยังปกครองได้เลยแต่เวลาจะปกครองตนเองเวลาจะมีสติปัญญาเท่าทันกับกิเลสของตนเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ละเอียดลึกซึ้งปัญญาที่เป็นมรรคขึ้นมา เขาเรียกว่าเป็นมรรคๆ ไง

แต่ถ้ามีปัญญาๆ เป็นกษัตริย์ไม่มีปัญญาหรือ เป็นกษัตริย์นะ มีปัญญาด้วย แล้วเป็นกษัตริย์ที่ประเสริฐด้วยเพราะอะไรเพราะละทิ้งความเป็นกษัตริย์ สละราชบัลลังก์ออกมาบวช คนที่เป็นกษัตริย์แล้วจะสละออกมาโดยไม่ใช่เขาขับไล่นะ ถ้าเขาขับไล่เขาขับไล่ออกมาเลย ไอ้นี่มันเป็นกษัตริย์นะเห็นเป็นกษัตริย์นั่นสมบัติของเราๆ มันมีสติปัญญาสามารถละได้ วางได้ วางที่สมบัตินี่วางได้วางแล้วมาบวชวางแล้วมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลามันเกิดปัญญาๆ ขึ้นมา ปัญญาที่ลึกซึ้งกว่าอย่างนั้นไงปัญญาที่เป็นกษัตริย์ ปัญญาที่บริหารจัดการนั้นถ้ามันเป็นปัญญาก็เอาตัวรอดได้มันต้องเอาความสุขมาใส่ใจได้สิ

เวลาเป็นกษัตริย์มีแต่ความทุกข์ความยาก เวลาบวชมาแล้ว เวลาเกิดภาวนามยปัญญาปัญญาที่เท่าทันกิเลสนะ ถ้าปัญญาที่ไม่เท่าทันกิเลสมันก็ยังอาลัยอาวรณ์อย่างที่พระที่เป็นปุถุชนที่ไปฟ้องพระพุทธเจ้านั่นแหละ เพราะอะไรเพราะทางโลกมองกันไง มองกันว่าสถานะของกษัตริย์มันสูงส่งไง สถานะของกษัตริย์ต้องมีความประณีตต้องมีความสุขหมดไง มันก็เป็นวัตถุนั่นน่ะ เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยนั่นแหละแต่หัวใจมันเร่าร้อน หัวใจมันเร่าร้อน

เขามีสติปัญญาของเขาเขาละของเขาเวลาเขามาประพฤติปฏิบัติมาบวชใหม่ๆเป็นพระเป็นปุถุชน ปุถุชนคนหนา คนหนาวิตกกังวลไปหมดทุกข์ยากไปทั้งนั้นน่ะ มันต้องมีสติปัญญาควบคุมดูแลหัวใจของเราไง ถ้าควบคุมดูแลหัวใจของเราถ้าใจมันสงบเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

จิตสงบนี้เป็นสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงานเวลาเกิดภาวนามยปัญญาปัญญามันจะเกิดบนฐานนี้ เกิดบนภวาสวะ บนภพบนสิ่งมีชีวิตนี้ สิ่งมีชีวิตที่อวิชชาครอบงำอยู่นี้ ถ้าครอบงำอยู่นี้ มันทุกข์มันยากเพราะว่าอวิชชามันครอบงำไงเพราะความไม่รู้ไม่รู้ในอะไร ไม่รู้ในตัวมันเองมันก็ตะปบไปหมดแหละ ตะครุบเงาไปเรื่อย ธรรมะนี่สติปัฏฐาน ๔มรรค ๘ เพ้อเจ้อเพราะมันไม่มีความจริง

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันยับยั้งได้ๆยับยั้งความคิดได้ ภาวนาพุทโธมีคำบริกรรมจนจิตสงบได้ มันเป็นสติ เป็นสัมมาสติเป็นสัมมาสมาธิถ้ามันเป็นมิจฉาๆว่างๆ ว่างๆมิจฉาทั้งนั้นน่ะมันว่างๆ แต่มันมิจฉาคือมันหลงผิดไง ความหลงผิดในความรู้ของเราก็เป็นมิจฉา ความเห็นผิดก็เป็นมิจฉาทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงมันมีของมันอยู่แต่เห็นผิดไปทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้าเห็นถูก เห็นถูกอย่างไร

ถ้าสติเป็นสัมมาขึ้นมามันเท่าทัน มันเท่าทันเพราะมันสมบูรณ์ในตัวมันเอง พอตัวมันเองขึ้นมา ถ้ามันบริกรรมของมัน จิตมันสงบเข้ามามันเป็นสัมมาสมาธิสัมมาสมาธิสัมมาถูกต้องดีงามมีสติสมบูรณ์ มีสติ มีสมาธิ แล้วถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญา นี่แนวทางสติปัฏฐาน ๔ โดยความรู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริง

ถ้ารู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริงมันจะเป็นจริง ไม่ใช่ตามตำรา ไม่ใช่ตามข้ออ้างไม่ใช่ตามกิเลสมันหลอก กิเลสมันสมอ้างสมอ้างว่าเป็นอย่างนั้นๆ แล้วก็อ้างอยู่อย่างนั้นน่ะ ไม่เป็นความจริงๆ

ถ้าเป็นความจริง เงียบความจริงเงียบเพราะอะไรเพราะมันมหัศจรรย์ไงความมหัศจรรย์เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ถ้ามันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ เราทำของเราๆ

สิ่งที่เราทำมาๆ กาลามสูตร อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเชื่อๆแม้แต่มันเป็นจริง เป็นจริงต้องทดสอบ เห็นไหมดูสิ ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมาแล้วท่านทำซ้ำๆ ไงประสบการณ์ของมันทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำขนาดไหนทำไมมันละเอียดไปเรื่อยๆ ล่ะ ของที่มันมีอยู่ ของที่เราฝึกหัดของเราอยู่ ถ้ามันมีสสารมีวัตถุที่เราจับต้องได้เราบริหารจัดการขึ้นไปเราทำให้มันดีขึ้น ดีงามขึ้นๆมันจะดีงามทุกเที่ยวๆ ไปเพราะมันมีความชำนาญขึ้น จะเห็นการขาดตกบกพร่องมา

ทำในครั้งปัจจุบันนี้แหม! มันเรียบร้อย มันวิจิตรพิสดาร พอทำครั้งต่อไปเห็นความบกพร่องครั้งที่แล้ว ยิ่งทำต่อเนื่องไปๆ มันจะเห็นความบกพร่องครั้งที่ทำๆ มา มันจะละเอียดเข้าไปๆ นี่ไง ทำซ้ำๆ ตทังคปหานมันจะปล่อยวางขนาดไหน มันจะเป็นความจริงขนาดไหน คนที่ไม่มีประสบการณ์ของมัน มันโดนกิเลสหลอกหมดล่ะ

เวลาเป็นคนดีๆ คนดีทะเลาะกัน คนดีก็เอาทิฏฐิของตนมาคะคานกันใครดีกว่าใครไง

ดี ทำไมไม่วาง

ดี ทำไมไม่รู้เท่า

ดี ทำไมไม่รู้จักความคิดของตน

ดี ทำไมต้องให้กิเลสมันยุมันแหย่

นี่ไง อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้ารู้ถึงความรู้สึกนึกคิด รู้ถึงการพูดออกไปแล้วมันมีผลประโยชน์หรือไม่มีผลประโยชน์ มันมีผลกระทบหรือไม่มีผลกระทบเว้นไว้แต่เวลาแสดงธรรมๆเวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านแสดงธรรมขึ้นมา ฟ้าผ่าๆฟ้าผ่ามันเพราะอะไรล่ะ มันหมั่นเขี้ยว กิเลสแท้ๆมันซุกอยู่ในใจเรา ทำไมไม่ทำทำไมไม่ทำทำไมไปส่งออกไปนอกนู่นน่ะ

มันก็เหมือนทางบ้านเราน่ะ งานในบ้านไม่ทำ งานในบ้านไม่ทำ ยุ่งแต่บ้านคนอื่นงานของตนไม่สนใจ บ้านของตัวไม่รู้จักดูแลรักษา เที่ยวไปยุ่งแต่บ้านคนอื่น เที่ยวแต่จะไปจัดการคนอื่น เที่ยวแต่จะจัดการคนอื่นแล้วบ้านของตนปล่อยให้มันโสโครก มันหมั่นเขี้ยวไง

แต่ถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นมาบ้านของเราๆดูแลหัวใจของเราสิ ทำหัวใจของเราสิ ถ้าทำหัวใจของเราปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เห็นไหมศาสนทายาทธรรมทายาทธรรมเกิดตรงนี้ถ้าเกิดตรงนี้เป็นธรรมๆ ขึ้นมาแล้ว ใจดวงนั้นมีแต่คุณธรรมนะใจที่มีคุณธรรมน่ะ

อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้าเพราะอะไรเพราะคุณธรรมอันนั้นมันเหนือโลกเหนือสงสารนี่ไง เวลามโนสัญเจตนาหารมันเสวยไง เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาท่านจะคิดจะไตร่ตรองเหมือนแบกท่อนซุง คนที่จะไปแบกท่อนซุงท่อนซุงคือขันธ์ ๕ท่อนซุงคือรูปเวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ

สังขารความคิด ความปรุง ความแต่งเวลาจิตมันจะเสวย เหมือนแบกท่อนซุง ใครอยากแบกอยากหาม มันวางหมดวางหมดมันจบใช่ไหม ท่อนซุงเราก็ไม่ไปแบกไม่ไปหามมัน มันก็กองอยู่นั่นน่ะ

เวลาท่านพูดนะ เราฟังแล้วซึ้งมาก ท่านบอกเวลาเสวยอารมณ์ เวลาจะคิด เหมือนแบกท่อนซุงนะ เราอยู่ของเราโดยปกติเราจะไปแบกหามมันน่ะ หนักนะ ซุงทั้งท่อน ซุงทั้งท่อนน่ะ ความคิดๆ ที่มันเกิดบนจิตนี่แหละซุงทั้งท่อน แล้วใครจะไปแบกไปหามมันล่ะ แบกให้มันหนักหรือ ก็วางไว้นั่น วางไว้นั่นนี่ธรรมเหนือโลกนิ่ง ความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้านิ่ง สุข สงบ ระงับนี่ตามความเป็นจริงไง แล้วอยู่ไหนล่ะ อยู่กับจิตใจที่ทุกข์ๆยากๆ นี่ เพราะเราทุกข์เรายาก

เราเป็นชาวพุทธ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา หน้าที่การงานก็ทำของเรา แต่สิ่งที่เราจะทำๆ ธรรมะนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆธรรมะเป็นแบบนี้ ธรรมะนี้ประเสริฐมากประเสริฐมาก แต่โดยทั่วไป เธอควรทำบุญที่ไหนมันเป็นประเพณีวัฒนธรรม แข่งกัน แข่งกันด้วยความประณีตแข่งกันอลังการแข่งกัน แข่งกันชิงดีชิงชั่วไม่มีดี มีแต่ชั่ว

ทำความจริงๆ ของตน ไม่ต้องแข่งกับใครบ้านของตนๆดูแลรักษาให้ดีบ้านของตนจิตใจของตนรักษาให้ดี แล้วรักษาให้ดี ดูสิ ดูกษัตริย์อยู่โคนไม้ นี่ก็เหมือนกันเราต้องการความสงบความระงับเพื่อจะไม่ตะครุบเงา จะค้นคว้าหาตัวมันถ้าได้ตัวมัน เห็นไหม ได้ตัวมันปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เราเอาที่นี่ เอาของเราเอาสัจจะของเราเอาความจริงของเรา เอวัง